เทศน์พระ

ค้นหา

๑๔ ธ.ค. ๒๕๖๓

ค้นหา

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

เทศน์พระ วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๓

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรม ตั้งสติไว้ให้จิตใจอยู่กับเนื้ออยู่กับตัว อยู่กับในหัวใจเรานี้ อยู่ในร่างกายเรานี้ เพื่อตั้งสติไว้ควบคุมมันแล้วดูแล ดูแลรักษา ดูแลรักษา แล้วตั้งใจฟังธรรม

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ทุกคนแสวงหา ทุกคนต้องการ ทุกคนค้นคว้าอยู่ เพื่อจะต้องการสัจธรรมความจริงในใจของแต่ละบุคคล แต่ในใจของแต่ละบุคคลที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะโดยธรรมชาติมันมีอวิชชาคือความไม่รู้จักตัวมันเอง

เพราะความไม่รู้จักตัวมันเองไง แต่มันอวดรู้นะ มันรู้เรื่องคนอื่นทั้งหมดเลย มันรู้เรื่องส่งออกทั้งหมดเลย มันรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ เรื่องโหราศาสตร์ เรื่องวัฏฏะ รู้หมดเลย แต่มันไม่รู้จักตัวมันเอง เพราะมันไม่รู้จักตัวมันเองมันเลยแก้ไขที่ตัวมันเองไม่ได้ไง

ตั้งสติไว้แล้วฟังธรรม ฟังธรรมนะ ฟังธรรมเพื่อเป็นเครื่องประดับของหัวใจดวงนี้ เครื่องประดับ ดูสิ เวลาเขาเรียนปริยัติๆ เวลาปริยัติ ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปริยัติคือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาก็ไปเรียนคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อความเข้าใจ เพื่อความรู้ แต่ก็ไม่รู้ เพราะมันเป็นการทรงจำธรรมวินัยๆ ไง

คำว่า ทรงจำ” มันมาจากข้างนอก เนื้อหาสาระมันเกิดจากบ้านเรามันสกปรก เกิดจากในบ้านเราของเรา ในภาชนะนี้มันไม่สะอาดแวววาวไง ดูสิ เวลาร้านอาหาร ถ้าร้านอาหารที่เขามีชื่อเสียงของเขา ภาชนะของเขา เขาทำความสะอาดของเขา แล้วคนเข้าไปในร้านเขาไม่ระแวงไม่สงสัยถึงภาชนะอันนั้นว่ามันสกปรก เวลาใส่อาหารมา อาหารนั้นถึงจะมีรสชาติตามสัจจะนั้น

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเราๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่ทำมาๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ชำระล้างอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุขๆๆ นะ วิมุตติสุขคือสุขแท้ๆ

สุขแท้ๆ ที่ว่าเจ้าชายสิทธัตถะเกิดมาแล้ว เห็นไหม ได้ภรรยา ได้ลูก ไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ภรรยาและลูกเป็นครอบครัว แต่ความเกิด ความแก่ และความตายมันเป็นเรื่องของหัวใจ สิ่งที่หัวใจเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย แล้วเราต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายใช่ไหม

เวลาท่านค้นคว้าหาสัจจะความจริงขึ้นมา อาสวักขยญาณทำลายอวิชชา ทำลายภาชนะในหัวใจดวงนั้น สิ่งที่มันสกปรกที่มันไม่รู้จักตัวมันเอง จนมันเข้าใจและรู้เห็นตามความเป็นจริง สำรอกคายกิเลสตัณหาทะยานอยากตามความเป็นจริง ภาชนะนั้นแวววาวๆ นี่สิ่งนี้เป็นวิมุตติสุขๆ ไง สุขในใจดวงนั้นไง สุขจากที่ไม่ต้องอาศัยสิ่งใดเป็นอามิส อาศัยสิ่งใดเป็นเครื่องเจือปนไง ในตัวของเขาเองๆ ในตัวของหัวใจดวงนั้นน่ะ ธรรมธาตุๆ ธาตุธรรมๆ

แต่ของเราธาตุรู้ ธาตุที่มีชีวิต สันตติ เกิดจากพลังงานในตัวมันเอง เป็นความมหัศจรรย์มากๆ สิ่งที่มีความมหัศจรรย์มาก หลวงตาท่านสอนไง จิตนี้ไม่เคยตายๆ จิตของเรา ความรู้สึกอันนี้มันไม่เคยตาย มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เพียงแต่ว่าสถานะของความเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมมันมีวาระของมัน แต่หัวใจดวงนี้ไม่เคยตาย มันไปเสวยภพเสวยชาติในสถานะใด มันก็ได้ใช้ชีวิตแบบนั้น เวลาสิ้นจากอายุขัยในภพชาตินั้นก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ในปัจจุบันนี้มาเกิดเป็นเรานี่

มาเกิดเป็นเรา เป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเราได้มาบวชเป็นพระนี่ เวลาบวชเป็นพระ เรามีศรัทธาความเชื่อไง มีศรัทธาความเชื่อเพราะอะไร

เพราะอยู่ทางโลก ดูสิ เวลาเราบวชเป็นพระแล้วเรามองออกไปทางโลก โลกเขาเหมือนกับเขาจะมีความสุข เขารื่นเริง เขาไปทัศนศึกษา เขาไปเดินทัศนาจร เขามีงานสังคมงานเลี้ยง โอ้โฮ! มันน่าจะสนุกน่ะ

แต่เราไม่ได้คิดหรือว่าเราก็เคยเป็นแบบนั้น เราก็เคยอยู่ในสังคมแบบนั้น แล้วสังคมแบบนั้นมันใช้พลังงานมากมายมหาศาล แล้วสิ่งที่เป็นพลังงานมากมายมหาศาลแล้ว สิ่งที่ใช้ไปๆ ถ้าไม่มีสติปัญญาไปเป็นทาสของเขา ทาสของน้ำเมา ทาสของยาเสพติด ทาสของการพนัน เป็นทาสๆๆ แล้วก็ต้องหาเงินหาทองมาเพื่อชดใช้หนี้สินที่ได้สร้างสมพะรุงพะรังมา เราก็ได้เห็นมันมาแล้วไง ถ้าคนเขามีสติปัญญา เห็นไหม

พวกเจ้ามือๆ เขาเอาอันนั้นเป็นธุรกิจของเขา ธุรกิจสีเทาๆ ไง เพื่อความเป็นอยู่ของเขา ในธรรมและวินัย ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล๑๐ ศีล ๒๒๗ มันผิดศีลผิดธรรม อบายมุข อบายภูมิ สิ่งที่เป็นอบายมุข แล้วเรามองว่ามันเป็นความสุขได้อย่างไร เพราะมันเป็นอบายมุข มันจะไปสู่อบายภูมิ

เราไม่ต้องการสิ่งนั้น เราได้ละสิ่งนั้นมาแล้ว แล้วเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราบวชเป็นพระ พอบวชเป็นพระขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ท่านพยายามชำระล้างของท่านจนสิ้นสุดของท่าน ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เสวยวิมุตติสุขๆ มีธรรมและวินัย

เวลาโลกจะเจริญไง โลกเจริญต้องมีการศึกษา ภาคปริยัติเป็นการยืนยันว่าปริยัติชัดเจนมั่นคง การปฏิบัติก็จะชัดเจนมั่นคงไปด้วย ถ้าปริยัติคลอนแคลนๆ การปฏิบัตินั้นก็เหลวไหล แต่ถ้ามันมีคนมีอำนาจวาสนาขึ้นมา ปริยัติศึกษาๆ แล้วมันก็ต้องใช้สติใช้ปัญญา ใช้การท่องจำ ใช้การวิเคราะห์วิจัยพอสมควร แต่เวลาภาคปฏิบัติขึ้นไปแล้วมันเอาความจริงขึ้นมา มันอาศัยบนหลักการ บนหัวใจของตน ทดสอบของตน เห็นไหม

ถ้าการทดสอบในใจของตน นั่นน่ะเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา แล้วมันทรงตัวขึ้นมา มันยังทรงตัวขึ้นมาไม่ได้ ไม่มีใครคุ้มครองดูแล ไม่มีใครเป็นครูบาอาจารย์คอยค้ำจุน เราก็ศึกษาปริยัติไง เอาปริยัติค้ำจุน ถ้าค้ำจุนแล้ว คนมีอำนาจวาสนาขึ้นมา ค้ำจุนด้วยภาคปริยัติขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา นั่นของจริงๆ ของจริงที่เราแสวงหา

ที่เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเราละเราวางจากเพศของฆราวาส สิ่งที่โลกเขาชื่นชม เขามีความสุข นั่นน่ะฆราวาสๆ แล้วฆราวาส นางวิสาขาเป็นโสดาบันขึ้นมาต่างๆ เขาก็เป็นคนของเขาได้ แต่เป็นของเขาได้ เขาก็เป็นเรื่องของอำนาจวาสนาของเขา

เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราจะเอาความจริง เรามาบวชเป็นพระ เป็นพระเป็นลูกศิษย์ของพระกรรมฐาน พระกรรมฐานเป็นพระผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเอาจริงเอาจังกับการประพฤติปฏิบัติ เวลาเอาจริงเอาจังกับการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราก็ต้องแสวงหา มารักษาข้อวัตรปฏิบัติ รักษาศีล รักษาธรรม รักษาการประพฤติปฏิบัติของครูบาอาจารย์

เวลาหลวงตาท่านบอกไง จากมือของอาจารย์กับมือของลูกศิษย์เป็นมือเดียวกัน

เป็นมือเดียวกันมันต้องเป็นศีลเป็นธรรมเหมือนกัน ถ้ามือของครูบาอาจารย์ที่สะอาดบริสุทธิ์นะ มือของครูบาอาจารย์ที่ไม่มีเลศมีนัย ไม่มียาพิษเคลือบแคลง กับมือของลูกศิษย์ มือลูกศิษย์กับมืออาจารย์เป็นมือเดียวกัน จับต้องใช้แทนกันได้

ของเราตอนนี้ เราเป็นมือของลูกศิษย์ลูกหาที่การประพฤติปฏิบัติการแสวงหา ในหัวใจมันจะเป็นสารพิษ มันมียาพิษ มันยังมีสิ่งที่มันสะสมในใจ มันยังไม่สะอาดพอ เรากระโดดกอดอย่างไร เห็นไหม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ผู้ที่อยู่ที่ไกลเราปฏิบัติเหมือนเราเลย เหมือนอยู่ใกล้ชิด ผู้ที่จับชายจีวรไว้มันทำขัดทำแย้ง มันไม่ทำตาม เหมือนอยู่ห่างไกลหมดเลย” นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

เวลาของหลวงตา เห็นไหม มือลูกศิษย์กับมืออาจารย์เป็นใช้แทนกันได้ๆ

ถ้าใช้แทนกันได้ เราก็ต้องมีศีลมีธรรม เราต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต สิ่งที่เป็นธรรมๆ แล้วสิ่งที่วุฒิภาวะคนที่ประพฤติปฏิบัตินี่ไง ถ้าคนที่ประพฤติปฏิบัติมันมีวุฒิภาวะขึ้นมามันทำไม่ได้ มันทำไม่ได้หรอก เพราะอะไร เพราะว่าเข็มทิศมันชี้ขึ้นไปทางทิศเหนือทั้งสิ้น เข็มทิศอะไรมันว่อนไปหมดเลย เข็มทิศ เพราะอะไร เพราะว่าวุฒิภาวะมันไม่มีไง มันไม่มีหลักมีเกณฑ์อะไรเลย ทำอะไร ทำอะไรเพื่ออะไร

เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประหยัดมัธยัสถ์ มักน้อย สันโดษ ถือสันโดษ ไม่มักมาก ไม่คลุกคลี นี่มันหนทาง

มือเดียวกันร่อนเป็นค้างคาวเลยอย่างนี้ มืออะไรน่ะ มือค้างคาว ไม่ใช่มือมนุษย์ แล้วไม่ใช่มือครูบาอาจารย์ แล้วไม่ใช่มือธรรมด้วย ใช้แทนกันไม่ได้ ใช้แทนกันไม่ได้เพราะอะไร เพราะนี่คือต้นเหตุไง ปลายเหตุ ปลายเหตุคือผลของการปฏิบัติ

ถ้าปลายเหตุมันร่มมันเย็นนะ พระสงฆ์เรา หมู่คณะเราจะร่มเย็นเป็นสุขไง ถ้าร่มเย็นเป็นสุขเป็นที่ไว้วางใจของสังคมไง ถ้าเป็นที่ไว้วางใจ วางใจได้

แต่ถ้ามันวางใจไม่ได้มันจะร่มเย็นเป็นสุขไปที่ไหน ผวาทั้งนั้นน่ะ ไอ้คนอยู่วัดก็ผวา ไอ้คนติดต่อสื่อสารก็ผวา ไอ้คนที่อยู่ในสังคมที่คอยรับผลก็ผวา มันผวาไปหมดเลย มันไว้ใจกันไม่ได้ แต่ถ้ามันไว้ใจได้มันจะร่มเย็นเป็นสุขไง

ถ้าร่มเย็นเป็นสุข เราซื่อสัตย์ เรามีสัตย์ มีสัจจะมีความจริง ทุกคนบวชมาก็ปุถุชนทั้งสิ้น เวลาปุถุชนทั้งสิ้น เราบวชมาแล้วมันมีข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่ของใจๆ

ข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่นะ มันเป็นเครื่องอยู่ คำว่า เครื่องอยู่” ไม่ใช่ความจริงไง

ถ้าเป็นความจริง เวลาหลวงตาท่านยังเข้มงวดอยู่ไง อิฐหินทรายปูนมันมีอยู่ทั่วโลกทั่วไปทั้งสิ้น ในการประพฤติปฏิบัติ โลกเขาปฏิบัติ เราก็ปฏิบัติ การปฏิบัติ กิริยา ทำแค่เป็นกิริยาก็ทำเหมือนกัน นั่งสมาธิ เดินจงกรมเหมือนกันทั้งสิ้น แต่มันเป็นแค่กิริยา มันเป็นพิธีกรรม มันไม่เป็นจริงไม่เป็นจังไง

ถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เรามาค้นคว้าของเรา ทำความสงบใจเข้ามา ถ้าใจสงบแล้ว สงบแล้วถ้ามันมีสติมีปัญญา สัจจะความจริง ฝึกหัดใช้ปัญญาๆ ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญาหาความบกพร่องของตน หาสิ่งผิดพลาดของตน

ถ้ามันเห็นสิ่งผิดพลาดของตนนะ เราค้นหาเอง เราค้นคว้าเอง แล้วมันเป็นความจริงเอง มันสะเทือนใจ มันสะเทือนใจแล้วมันเศร้าใจนะ ทำไมเราผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้นน่ะ ทำไมมันไม่แก้ไข ทำไมมันไม่เป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ถ้าเรารู้เราเห็นนะ ถ้าเราค้นคว้าๆ ถ้าเห็นแล้วมันสะเทือนใจมาก

ทีนี้มันไม่เห็นน่ะสิ พอไม่เห็นมันก็เป็นทิฏฐิมานะทั้งสิ้น ลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะชัง ลำเอียงเพราะพวกเขา ลำเอียงเพราะพวกเรา ลำเอียงทั้งสิ้นน่ะ มันเป็นการเบียดเบียนกัน มันไม่เป็นความจริง ความจริงมันเป็นความจริงแล้วความดีก็ต้องเป็นความดีสิ

นี่ความดีมันไม่เป็นความดีเลยเพราะมันมีความลำเอียง ลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะชัง ลำเอียงเพราะเขา ลำเอียงเพราะเรา ลำเอียงเพราะพวกเขาพวกเรา ลำเอียงๆ มันคิดไปนู่นน่ะ ถ้ามันหาไม่เจอ

นี่ค้นคว้า ค้นคว้า ค้นคว้า มันสัญญาอารมณ์ไง หลวงตาท่านสอนประจำ อย่าเสียดาย อย่าเสียดายอารมณ์ความรู้สึก อย่าเสียดายความนึกคิด

ไอ้ความนึกคิด ความรู้สึกเรา เราคิดว่าเราคิดแล้วยอดเยี่ยมกระเทียมดอง ยอดมนุษย์ไง

มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด เราอยู่กับครูบาอาจารย์มา ไอ้สิ่งที่เราคิดมาเริ่มต้น เริ่มต้นมานี่ แหม! มหัศจรรย์พันลึกลึกซึ้งมากเลย พอมันพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่านะ หยาบหมดน่ะ มันจะไปสู่ความละเอียดลึกซึ้งของมัน ถ้ามันส่งเสริมไปด้วยสติ ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญานะ

อย่าพลั้งเผลอ อย่ามีทิฏฐิมานะ อย่ากอดสัญญาอารมณ์เก่า เสลดที่คายทิ้งไปแล้วอย่าไปเลียกิน ของเน่าของเสียไง ขี้หูขี้ตาขี้มูกขี้ไคล ขี้ทั้งนั้นน่ะ มันออกไปจากร่างกายนี้ มันออก ปากกินเข้าไปแล้วมันก็ถ่ายออกเป็นขี้ เป็นขี้ทั้งนั้น ขี้เหงื่อขี้ไคล เป็นขี้ สัญญาอารมณ์น่ะขี้ ขี้โลภขี้โกรธขี้หลง เป็นขี้

ถ้าเราค้นคว้า เราเห็นของเราได้ มันเป็นธรรม นี่คือการฝึกหัด คือการปฏิบัติไง ถ้าการฝึกหัด คือการปฏิบัติ เรามีสติมีปัญญาค้นคว้าของเรา ถ้าค้นคว้าของเรา ค้นคว้าไง ค้นคว้าหาความจริงในใจนี้

ภาคปริยัติ ถ้าภาคปริยัติมั่นคง การปฏิบัติจะแวววาว การปฏิบัติจะมั่นคงเพราะการศึกษาการค้นคว้าภาคทฤษฎีมันถูกต้อง ถูกต้องก็ถูกต้องอยู่อย่างนั้นน่ะ อยู่อย่างนั้นน่ะ มันยังไม่ได้ปฏิบัติ

เวลาปฏิบัติขึ้นมา ภาคปฏิบัติๆ ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา ดูสิ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านลงมาหาเจ้าคุณอุบาลีฯ เข้ามาหาเจ้าคุณหนู มาศึกษามาค้นคว้าในกรุงเทพฯ เพราะในกรุงเทพฯ เป็นที่อยู่ของนักปราชญ์ นักปราชญ์ราชบัณฑิต ค้นคว้าศึกษาตามตำรับตำรา แล้วก็พยายามค้นคว้าฝึกหัดขึ้นมา

แล้วมันมีนักรบ ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระกรรมฐานอยู่ในป่าในเขาท่านก็ปฏิบัติของท่าน เวลามันเกิดปัญญา เวลาธรรมมันเกิดๆ หลวงปู่มั่นท่านบอกท่านฟังธรรมทั้งวันทั้งคืนน่ะ เวลามันเกิด มันเกิดกับเรา แล้วจริงไม่จริงล่ะ เห็นไหม ค้นคว้าค้นหาแล้วเปรียบเทียบ แล้วพยายามเปรียบเทียบมากับธรรมและวินัย

แล้วเปรียบเทียบธรรมวินัยไม่ใช่เปรียบเทียบโดยทัศนคติมุมมองของตนนะ เปรียบเทียบธรรมและวินัยโดยทัศนะและคติของเจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านเป็นนักปราชญ์ เป็นผู้วางรากการศึกษาของประเทศไทย ทั้งการศึกษาประชาบาล ทั้งการศึกษาทางโลก เริ่มวางรากวางฐานในการศึกษา ศึกษาทั้งทางฆราวาสและศึกษาทั้งทางพระ เผยแผ่การศึกษาออกไป แล้วท่านศึกษาแล้วมันมีคุณธรรมขึ้นมา ท่านก็ปฏิบัติด้วย

แล้วเวลาหลวงปู่เสาร์ท่านเป็นนักรบเลย หน่วยรบพิเศษเลย เข้าไปรบกับกิเลสเลย ถ้ามันเจออย่างไรแล้วมันหันรีหันขวางก็มาปรึกษา มาปรึกษากับนักปราชญ์ราชบัณฑิตเลย

นี่เอาจริงๆๆ ค้นคว้าหาความบกพร่องทั้งภายในของเรา แล้วค้นคว้าหาความบกพร่องทั้งภายในของเรา มันเป็นกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเป็นกิเลสในหัวใจนี้ แล้วเวลาเข้าไปเจอกับความโลภ ความโกรธ ความหลงในหัวใจนี้ แล้วเอาอะไรต่อสู้กับมัน ก็เอาสติเอาปัญญาของเราต่อสู้ไง แล้วต่อสู้ มันเกิดปฏิกิริยาอย่างไร

เวลากิเลสมันหลอกมันหลอน มันพลิกมันแพลง มันชักมันจูงไง เป็นอย่างนั้นๆๆๆ เชื่อมันไป ตามมันไปไง แล้วมันมีกำลังของสมาธิไง มันมีหัวใจ มีธาตุรู้ มีความรู้สึกนี้ มันมีรสมีชาติ มันพิจารณาไป นี่กิเลสมันชักมันนำ มันทำให้พลั้งให้พลาด ให้ผิดให้พลาดไป นี่เวลามันพลิกมันแพลงขึ้นมาแล้วแก้ไขอย่างไร

เวลาครูบาอาจารย์ท่านแก้ไข แล้วแก้ไขโดยประสบการณ์ โดยสติ โดยสมาธิ โดยปัญญาของท่าน แล้วยังทดสอบกับนักปราชญ์ราชบัณฑิตว่ามันเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง ทดสอบกันๆ เห็นไหม คนที่เอาจริงเอาจังเขาเอาจริงเอาจังอย่างนั้นไง ไม่เชื่อตัวเอง แม้แต่ตัวเองเวลาเกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญา มันก็เกิด มันก็มีรสมีชาติ คนปฏิบัติทุกคน เวลาจิตที่มันดื้อ เวลาจิตมันเสื่อม แล้วสภาวะเหตุการณ์อย่างนี้ใครไม่เจอเลย มันเป็นไปได้อย่างไร

ดูนักกีฬาทุกชนิดสิ นักกีฬาทุกชนิดที่เขารักษาออกกำลังกายตอนเช้า เขารักษาความฟิตของเขาน่ะ นักกีฬาอาชีพนะ อาหารของเขา เขาต้องมีนักโภชนาการคุมให้เลย แล้วต้องทานอย่างนั้น ต้องใช้พลังงานอย่างนั้น ต้องใช้ออกกำลังกายอย่างนั้น เพื่อจะดึงกล้ามเนื้อส่วนใดให้มันมีกำลังอย่างไร เช่น นักกีฬาชนิดใด นักกีฬาเขาต้องทำขนาดนั้นนะ นี่พูดถึงว่านักกีฬาอาชีพนะ

แต่ของเราพระกรรมฐานนักปฏิบัติอาชีพ อาชีพนักรบ สิ่งที่โลกเขายกย่องสรรเสริญกันไง พระปฏิบัติๆ เขายกย่องเขาสรรเสริญก็เพราะชื่อไง พระป่าๆ นี่ชื่อ ชื่อว่าเป็นนักรบ แล้วมันรบจริงหรือเปล่าล่ะ ถ้ามันรบจริง ทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ถ้ามันทำจริงทำจังของมันมา

โดยธรรมชาติ เวลาอยู่ในสังคม อยู่ในวงพระกรรมฐานไง ในเมื่อพระก็มาจากคน นกกามันยังมีรวงมีรังที่พึ่งอาศัย วัดก็ต้องมีกระต๊อบห้องหอเป็นที่หลบ ที่ซุกหัวนอน แล้ววัตรในศาลา วัจจกุฎีวัตร วัตรในเครื่องอยู่ของเรา นี่เป็นเครื่องอยู่ๆ ใครมีหน้าที่อย่างไรเราก็ทำ เราทำด้วยกัน ทำร่วมกันไง พอทำร่วมกันเสร็จแล้วเราก็จะเข้าทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนาไง เพื่อเอาจริงเอาจังค้นคว้าหาใจของตนไง นี่ถ้ามันจะรบไง ถ้ามันรบจริงๆ เขารบกันอย่างนั้นไง แล้วรบอย่างนั้นแล้วมันเห็นความขาดตกบกพร่องของเราไง คนนั้นทำแล้ว คนนี้ทำแล้ว เรายังไม่ได้ทำไง ถ้าเราทำแล้วนะ เราใช้ร่วมกัน เราอาศัยร่วมกัน เราก็ทำร่วมกัน

เวลากิเลสนะ เขาทำแล้ว ไม่มีอะไรจะทำ มันว่างเปล่า พอว่างเปล่า นี่เวลามันคิด คิดได้นะ พอเข้าทางจงกรมสิ คอตกเลยล่ะ เมื่อกี้นี้กิเลสมันตบหน้าเอา บอกว่าทุกอย่างก็เสร็จหมดแล้ว ทั้งๆ ที่เราก็รู้เราก็เห็นว่าเรากินแรงคนอื่นน่ะ

เวลาเข้าทางจงกรมนะ มันไม่มีพวกเขาพวกเราหรอก เวลามันลากไส้ เวลากิเลสมันลากไส้ออกมานั่นน่ะ ไอ้ไส้เหม็นๆ นั่นน่ะ แล้วเวลามันค้นคว้า มันหามันเจอนะ มันเศร้าใจอย่างนั้นน่ะ เวลาเราทำสิ่งใดก็แล้วแต่มันขาดสติ มันเหตุการณ์เฉพาะหน้า เราใคร่ครวญไม่ทัน เวลาเข้าไปทางจงกรม ทบทวนได้เลย

เรานี่ทบทวนประจำ ถ้าวันไหนภาวนาไม่ลงนะ ตั้งแต่ตื่นนอนเลยล่ะ ตื่นนอนทำอะไรบ้าง ออกบิณฑบาตไปเจออะไร กลับมาฉันอาหาร เอ็งฉันด้วยความระมัดระวังหรือไม่ เวลาเก็บกวาดเก็บล้างแล้วเอ็งทอดธุระหรือเปล่า แล้วเวลานี้กลับมาตอนนี้เข้าทางจงกรมแล้วมันมีอะไรผิดพลาดมาล่ะ ถ้ามันไม่มีอะไรผิดพลาดมา ก็ความเพียรชอบไง ก็ใส่เข้าไปสิ ความเพียรน่ะ เวลาถ้ามันรุนแรงนะ วิ่งเลย เดินจงกรมนี่พับๆๆๆ เลย จนเหงื่อไหลไคลย้อยนะ จิตมันเริ่มอยู่แล้ว สติมันทันแล้ว อ๋อ! เฮ้อเลยล่ะ เฮ้อนี่ค้นคว้าหามันไง ถ้าค้นมันเจอ จับตัวมันได้

แต่ถ้ามันจับไม่ได้นะ คนโน้นผิดหมดเลย ลำเอียง พวกเขาพวกเรา เราเป็นคนขี้ทูดกุดถัง มาโดยคนไม่มีวาสนา มาแล้วไม่เห็นได้อะไรเลย ไม่มีใครสั่งสอนกูสักคน

ใครจะสั่งสอนล่ะ เวลาไปอยู่ในวัด หูกระทะใช่ไหม ตาไม้ไผ่หรือ ทำไมไม่มีสติปัญญา ทุกอย่างมันมีพร้อมอยู่แล้ว ทุกอย่างมีพร้อม สนใจศึกษาหรือเปล่า ถ้าสนใจศึกษาแล้วมันเห็นหมดล่ะ มันจับได้หมดล่ะ คนเหมือนกัน พระเหมือนกัน ข้อวัตรอยู่ในที่เดียวกัน คนมีหูมีตาทั้งสิ้น ไม่มีสมองใช่ไหม ความคิดไม่เป็นหรือ คิดไม่ได้ใช่ไหม เวลาคิดได้ มันเหมือนกันไหม มันก็เหมือนกัน เท่ากันทั้งนั้นน่ะ แต่กิเลสมันพาไปไง

นี่ไง ไม่ค้นคว้า ไม่มีขันติธรรม ไม่มีปัญญาใคร่ครวญ เวลาคนอื่นใช้กฎหมาย ใช้บังคับเขาหมดน่ะ มึงรู้ไหมว่ากูลูกใคร กฎหมายบังคับ บังคับใช้เขาทั่วแหละ แต่ของฉันคนพิเศษ ฉันเป็นคนที่รับผิดชอบมาก นี่มันไปของมันทั่วแหละถ้ามันจับไม่ได้

แต่ถ้ามันจับได้นะ ค้นคว้าหา มันสะเทือนใจมาก เวลามันสะเทือนใจ นั่นน่ะสติสัมปชัญญะมันเกิด แล้วเวลาเกิดขึ้นมาคุณธรรมมันเกิด เวลาคุณธรรมมันเกิด ขนพองสยองเกล้า ขนลุกขนพองเลยล่ะ แล้วเวลามันคิดได้นะ ทำไมกูไม่รู้ๆ มันออกนั่นแหละ

ถ้ามันรู้แล้วมันเท่าทันนะ มันโทษตัวเองทั้งนั้นน่ะ วันไหนถ้ามันโทษตัวเองนะ นั่นน่ะถูกต้อง ถ้าวันไหนมันลำเอียง มันส่งออก มันโทษคนอื่นน่ะจบแล้ว คือทุกอย่างผลักให้คนอื่นหมดเลย แล้วเหลืออะไรล่ะ เหลือความว่างเปล่า เหลือแต่ขี้ แต่ทุกอย่างมันเกิดที่ฐีติจิต

หลวงปู่มั่นท่านสอน อวิชชามันเกิดที่ไหน อวิชชามันเกิดอย่างไร ในหนังสือก็ไม่มี ในพระไตรปิฎกมีแต่หมึกเปื้อนกระดาษนะ ตัวจริงไม่มี เวลาคำสอนของครูบาอาจารย์ก็คำสอนของท่าน มันเป็นก็เป็นในหัวใจของท่าน แล้วของเราล่ะ ของเราว่างเปล่า กระดาษเปล่าๆ ไง ไม่เห็นมีอะไรสักชิ้นหนึ่ง แล้วจะจารึกอะไรลงไปล่ะ จะจารึกอะไรลงไปมันก็เขียนไปด้วยกิเลสไง เขียนไปด้วยความเห็นของตนไง ในเมื่อมันยังไม่รู้ไม่เห็นสิ่งใดเลยไง

แต่ถ้ามันรู้มันเห็นขึ้นมา ถ้ามันจับต้องได้ไง มันสลดสังเวช มันสลดสังเวชนะ เดินจงกรมนะ มึงผิดๆ ทำไมแค่นี้คิดไม่ได้ ทำไมทำอย่างนี้ไม่ได้ ทำไมครูบาอาจารย์ท่านทำได้ ทำไมครูบาอาจารย์ท่านผ่านของท่านมาได้ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านค้นคว้าหาขนาดไหน มันทุกข์มันยากขนาดไหน แล้วตอนนี้เทคโนโลยีมันเจริญขนาดนี้ คอมพิวเตอร์กดเข้าไปเถอะ กดได้หมดเลย คำสั่งคำสอนคำอบรมของครูบาอาจารย์เต็มไปหมดเลย แต่ข้อเท็จจริงมันมีหรือไม่ล่ะ แล้วมันเป็นจริงหรือไม่ล่ะ

มันมีแต่ไอ้พวกกะล่อนนั่นน่ะมันเอาสมบัติของครูบาอาจารย์ไปขายกิน เป็นอย่างนั้นๆ แหม! จิตเป็นอย่างนั้นๆ...เป็นอะไร

ถ้าเป็นจริงเขาจะสงบระงับ เขาจะมีคุณธรรมของเขา เขาไม่สร้างบาปสร้างกรรมแน่นอน คนที่ไม่มีคุณธรรมสร้างบาปสร้างกรรม หนึ่ง โกหก กะล่อน ปลิ้นปล้อน ตอแหล นั่นกิเลสทั้งนั้นน่ะ มันไม่จริง

ถ้าจริงนะ ความจริงเขาต้องกะล่อนให้ใครฟัง ทำไมต้องโกหกเพื่อให้เขาเชื่อ ทำไมต้องตอแหลเพื่อจะรักษาหน้า ทำไมต้องพลิกแพลงเพื่อกิเลสให้มันตัวใหญ่ๆ ทำไมมันเป็นอย่างนั้น ถ้ามันเป็นความจริง นิ่ง นิ่งเลย

สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น คนหยาบ คนละเอียด คนปานกลาง คนหยาบๆ เขาก็เชื่อแต่เรื่องหยาบๆ ทำตามกระแสสังคมกันไป แล้วกระต่ายมันตื่นตูม ใครจะมีปัญญาจะเอาเรือไปขวางน้ำเชี่ยว

สังคมเขาพยายามสร้างกระแส ถ้าสร้างกระแสได้ โอ้โฮ! น้ำเชี่ยวไหลแรงมาก แล้วไอ้พวกกระต่ายตื่นตูม ไอ้พวกหยาบๆ มันก็เชื่อตามๆ กันไป

สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายน่าสังเวช แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราล่ะ

เรากับสติเราไง ปัญญาเราไง ทางจงกรมเราไง นั่งสมาธิภาวนา เห็นแล้ว นี่ไง ถ้าขาดสติขาดปัญญาเป็นแบบนั้น แล้วเกี่ยวอะไรล่ะ

แต่สังคมนั้นเขาเพื่อผลประโยชน์ของเขาไง ประโยชน์เขา สพฺเพ สตฺตา ไง ถ้าบอกว่า ถ้ามีสัจจะมีความจริงขึ้นมา มันนิ่ง สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายจะโง่จะฉลาดมันเรื่องของเขา แล้วเรื่องของเขาๆ เรื่องต้องไปแบกโลก ใครมีกำลังแบกโลก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เรามีวาสนาน้อย เราอายุ ๘๐ ปี เราต้องนิพพานแล้ว อานนท์ เธออย่าเสียใจไปเลย อีก ๓ เดือนข้างหน้าเขาจะสังคายนา เธอจะได้เป็นพระอรหันต์ในวันนั้น”

พระอานนท์เวลาเป็นพระอรหันต์แล้ว เวลาหมดอายุขัย ๑๒๐ ปี จาก ๘๐ ปี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๘๐ ปี พระอานนท์อายุเท่ากัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไป พระอานนท์ตรัสรู้ธรรมแล้วยังอยู่อีก ๔๐ ปี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่อีก ๔๕ ปี พระอานนท์เป็นพระอรหันต์แล้วเผยแผ่ ยังเผยแผ่ ยังเป็นที่พึ่งอาศัยของบริษัท ๔ ไม่เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เห็นพระอานนท์ไง นี่สิ่งที่มันสืบต่อกันมาๆ เห็นไหม

“เราวาสนาน้อย อายุ ๘๐ ปีเราต้องนิพพาน”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โลกธรรม ๘ สพฺเพ สตฺตา มันเป็นเรื่องของเขา แต่เวลาเป็นอำนาจวาสนาของท่านนะ มารดลใจให้สิ้นชีวิตตลอด

“มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเรายังไม่เข้มแข็งสามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้” ของไอ้พวกฤๅษีชีไพร ของไอ้ผู้เห็นผิดน่ะ “เรายังไม่ยอมนิพพานๆ

จนวันสุดท้าย มารดลใจ

“มารเอย บัดนี้ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเราเข้มแข็งสามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วง” ไอ้กะล่อน ไอ้ปลิ้นปล้อน ไอ้พลิกไอ้แพลงนั่นน่ะ “อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะนิพพาน”

นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังปล่อยโลกธรรม ๘ เรื่องของโลก แล้วถ้ามีธรรมไม่ตามกระแส นั่นกระแส กระแสของโลกไง สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นสุขๆ เถิด เป็นสุขๆ เถิด จงมีแต่ความสุข

แต่ของเราไม่ใช่ เพราะว่าเราจะค้นคว้าหากิเลสตัณหาความทะยานอยากของเราไง เราจะค้นคว้าหาความผิดพลาดของเรา พญามารๆ ที่มันครอบงำหัวใจดวงนี้ไง ได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ได้มาบวชเป็นพระ เป็นนักรบ เป็นพระป่าอยู่นี่ ถ้าพระป่าถ้ามันมีสติมีปัญญา มันค้นหาเจอ ค้นคว้าหาความบกพร่องของเรา ความผิดพลาดของเรา

แล้วความบกพร่อง ความผิดพลาดมันเกิดจากไหน จากมโนกรรม มโนกรรมขึ้นมามันเกิดกายกรรม เกิดวจีกรรม เกิดการกระทำ สิ่งที่กระทำนั้นมันต้องคิดขึ้นมาก่อน แล้วเวลาคิดขึ้นมา ทำไมมันคิดล่ะ ทำไมมันคิดได้แล้วมันทำได้ แล้วทำลงไปทำไม ทำไปแล้วมันมาเสียอกเสียใจมาช้ำใจทำไม ช้ำใจก็เลิกทำสิ เลิกไปยุ่งวุ่นวายกับมันไง

เราก็ตั้งสติตั้งปัญญาให้มากขึ้น ทำความสงบของใจให้มากขึ้น แล้วค้นคว้าหาความผิดพลาดมากขึ้นไปกว่านี้ไง ค้นคว้าหาไอ้ที่ว่ามันเป็นอุเบกขา มันเป็นธรรมๆ นั่นน่ะตัวแท้ๆ ของจริงของมันน่ะ ถ้าจับต้องมันได้ เราจับมันพิจารณาขึ้นมาสิ นั่นน่ะงานแท้ๆ เลยล่ะ นี่งานกระทำ งานค้นหา ถ้าค้นหาถ้ามันเจอขึ้นมามันสลดมันสังเวชไง

แล้วถ้ามันเป็นจริงเราก็ค้นคว้าของเราไป มันจะเกิดขนพองสยองเกล้า มันจะเห็นความผิดพลาด เห็นความบกพร่อง นี่ไง หายใจดังเกินไปยังไม่ถูกเลย คนนั่งข้างเคียง เสียงของเรามันไปกระเทือนเขา เราจะทำอย่างไรให้เรานุ่มนวลที่สุด เราจะทำอย่างไร การนั่ง การเดิน การเหยียด การคู้ของเราไม่ให้มีเสียงกระทบใครเลย

อยู่ที่บ้านตาด แม้แต่แจกอาหารนั่นน่ะ ยังพูดไม่ได้เลย กระแอมๆ ห้ามพูดเด็ดขาด เสียงมีไม่ได้ แล้วเราทำอย่างไรล่ะ เวลาทักทายกัน กระแอมๆ รู้แล้ว นี่ไม่ให้มีเสียงดัง เวลามันจะเอาความรอบคอบ นี่คือการกระทำไง การกระทำของเขามันต้องสงบระงับเข้ามา

แล้วถ้าสงบระงับเข้ามา นี่ลูกศิษย์กรรมฐาน อ้อนี่ลูกศิษย์กรรมฐาน ถ้าไอ้โรงลิเกนั่นมันไม่ใช่ มันไม่ใช่ศิษย์กรรมฐาน นี่ไง แหม! เป็นกรรมฐาน เป็นพระป่า

ไม่อยากจะพูดนะ เขาเสียดสีเยอะมาก ป่าเถื่อน แล้วกิริยามารยาทไง

แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ ดูสิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตาท่านพูดประจำ เวลาเทศนาว่าการ โอ๋ย! หน้าวัดท้ายวัดได้ยินหมดเลย เสียงนี่ โอ้โฮ! มหัศจรรย์ นั่นน่ะพลังของธรรม เวลาพูดถึงพลังของธรรมใครไม่รู้จัก

เวลาหลวงปู่เจี๊ยะท่านพูด เวลาเสียงหลวงปู่มั่นเกิดขึ้น “เฮ้ย! ฟ้าร้องๆ” เสียงหลวงปู่มั่นดังไม่ได้เลยล่ะ พระทั้งหมดจะอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่จะรีบวาง แล้วจะรีบไปที่ใต้กุฏิท่าน เพราะการแสดงออกของท่าน ธรรมที่ออกมาจากหัวใจของท่านมันเหมือนฝน มันเหมือนน้ำทิพย์ชโลมลงหัวใจของลูกศิษย์ลูกหา ลูกศิษย์ลูกหาต้องการอย่างนั้น

แต่มันก็เป็นกรรมของสัตว์ กรรมของสัตว์ว่า ใครมีบุญญาธิการมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีบุญญาธิการมากมันก็อยากจะรู้มาก มันอยากต้องการมาก

เวลาหลวงตาท่านพูดเลย เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศน์ เหมือนทารกได้ดื่มนมจากอกของแม่ ทารกที่มันจะมีความสุขที่สุด มันก็ได้ดื่มน้ำนมจากอกของแม่

เวลาเด็กมันถาม “รู้จักสวรรค์ไหม”

หลวงตาท่านชี้กลับเลย ก็อกแม่มึงนั่นไง อกแม่มึงนั่นน่ะสวรรค์ น้ำนมแม่มึงนั่นล่ะสวรรค์

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจที่มันทุกข์มันยาก คนที่มันมีสติมีปัญญานะ เสียงดังไม่ได้ มีเสียงขึ้นมา ใครจะทำอะไรอยู่ก็แล้วแต่จะวางทันที ไปฟังเทศน์ก่อน ไปเอาเทคนิค ไปเอาสิ่งที่ว่า เวลาครูบาอาจารย์ท่านคุ้มครองลูกศิษย์ลูกหาของท่าน อยู่ด้วยกันเวลาคุ้มครองขึ้นมา มันคิดออกนอกเรื่องไม่ได้ มันจะไปเรื่องอื่นไม่ได้ นี่ไง เพราะอะไร

ท่านพูดเลย เวลาหลวงปู่มั่นท่านว่านะ แม้แต่เวลาจะคิดออกจากวัดท่านไป ท่านบอกนั่นน่ะขาดนิสัยแล้ว นี่เวลาคิดไง ขาดนิสัย เพราะอะไร เพราะมันลาวิกาลไง พระจะออกจากวัด ออกจากขอบเขตไปต้องลาก่อน ขออนุญาต แล้วเวลามันคิด หัวใจมันคิดไง คิดว่าจะไปนู่นไปนี่ นั่นน่ะท่านบอกขาดแล้ว นี่พูดถึงมโนกรรมนะ

เวลาหลวงปู่มั่นท่านจี้ท่านชี้เข้าไปในหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่จะหาความบกพร่องของตน แต่หาไม่เจอ ค้นไม่ได้

ท่านถึงให้ค้นคว้าค้นหา เวลาค้นคว้านะ เราทำความสงบของใจเราเข้ามา แล้วเราค้นคว้าค้นหาสิ่งที่มันเป็นพิษเป็นภัยในใจ แล้วถ้าเราค้นคว้าค้นหาเจอนะ แหม! มันสังเวช มันทั้งสังเวช มันทั้งสลดหดหู่ แล้วถ้ามันมีสติสัมปชัญญะขึ้นมามันก็รื่นเริง

เออ เราเหมือนไปหาหมอ หมอวินิจฉัยโรคได้ว่าเป็นนู่นเป็นนี่ เราก็รักษา นี่เหมือนกัน พอเราค้นคว้าค้นหาอารมณ์ความรู้สึก กิเลสที่มันปลิ้นมันปล้อนในใจเรา เราค้นหา เราค้นเจอขึ้นมา พอค้นหา ค้นเจอ เราก็รู้ว่าเราผิดไง ทำไมโง่ขนาดนี้ ทำไมมึงโง่ขนาดนี้ เวลามันค้นเจอนะ มันเศร้า ทำทำไมล่ะ เวลาตอนนั้นมันก็ขาดสติ มันรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มันทำไปโดยอารมณ์ชั่ววูบ อารมณ์ชั่ววูบๆ แล้วมันก็วูบๆ บ่อยเลย

ค้นคว้า ค้นหา แล้วพยายามทำของเรา แล้วมันจะฟื้นฟูขึ้นมา นี่คือการปฏิบัตินะ มันจะเติบโต หัวใจมันจะเติบโตขึ้นมา มันเติบโตมาจากประสบการณ์ เติบโตมาจากการภาวนา

นักมวย เวลาเขาเริ่มฝึกหัดใหม่ เด็กหัดใหม่ชกก่อนเวลา แล้วก็ชกประดับรายการ พอเป็นแม่เหล็กขึ้นมา เป็นคู่เอกอย่างนี้ นักมวยเขาจะฝึกหัดขึ้นมา กว่าเขาจะเข้มแข็ง กว่าเขาจะมีสติสัมปชัญญะ มีปฏิภาณไหวพริบในการป้องกันตัว ในการออกอาวุธ นี่นักมวย

ไอ้นี่เรานักรบ เราจะรบกับกิเลสของเรานะ ตั้งสติ ทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนา สิ่งใดที่เกิดขึ้น สติจับ จับความคิดนี้ จับอารมณ์ความรู้สึกของเรานี่ ถ้ามันจับความคิดได้ จับอารมณ์ของเราได้ นั่นแหละ นั่นแหละคือปัญญา ปัญญามันจะใคร่ครวญค้นคว้าหาความผิดพลาดไง

ถ้าเราไม่มีอะไรผิดพลาด เราไม่มีสิ่งใดเลย ทำไมเราทำสมาธิมันไม่ลงล่ะ ทำไมทำสิ่งใดแล้วมันไม่เจริญงอกงาม นี่ไง ถ้ามันค้นคว้าค้นหาเจอนะ มันสังเวช มันสะเทือนใจนะ นั่นน่ะมันจะพัฒนาของมัน นี่คือการฝึกหัด คือการประพฤติปฏิบัติ ฟังธรรมๆ แล้วก็ปฏิบัติธรรม ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม ค้นคว้าหาคุณธรรม ปฏิบัติธรรมเพื่อหัวใจของเรา เอวัง